ดีเอสไอ ยึดอายัดทรัพย์สินจากขบวนการหลอกลงทุน ธุรกิจจัดหาห้องพักให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศ มูลค่าประมาณ 50 ล้านบาท
ดีเอสไอ ยึดอายัดทรัพย์สินจากขบวนการหลอกลงทุน
ธุรกิจจัดหาห้องพักให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศ มูลค่าประมาณ 50 ล้านบาท
ตามที่กระทรวงยุติธรรม มีนโยบายให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 หรือ “คดีแชร์ลูกโซ่” ซึ่งถือเป็นภัยต่อสังคม ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและกระทบต่อสถานะทางการเงินของประชาชนผู้ตกเป็นเหยื่อโดยตรง โดยให้เร่งดำเนินการป้องกันและปราบปรามอย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนและต่อเนื่อง ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ใช้มาตรการเชิงรุกในการดำเนินคดีด้วยการสนธิกำลังและบูรณาการข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งใช้มาตรการยึด/อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทุกคดี เพื่อตัดวงจรการกระทำผิด และเพื่อเป็นทรัพย์สำหรับนำมาเฉลี่ยคืนผู้เสียหายตามคำสั่งศาลเมื่อคดีถึงที่สุดด้วย
สำหรับเรื่องนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับการร้องทุกข์จากประชาชนผู้เสียหายว่า มีการโฆษณาหรือประกาศชักชวนให้มาร่วมลงทุนในธุรกิจจัดหาห้องพักให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยแบบกรุ๊ปทัวร์ ซึ่งจองในนามบริษัท ไนซ์ เดย์ ทราเวล จำกัด ที่มีนายปริญญา บุรัสการ และนางสาวจิรฐา ทองเหลือ เป็นกรรมการ และอ้างว่าการร่วมลงทุนจะได้รับผลตอบแทนในอัตราสูงซึ่งเมื่อคำนวณแล้วสูงว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของสถาบันการเงินในประเทศ จึงมีผู้เสียหายหลงเชื่อร่วมลงทุนจำนวนมาก แต่เมื่อลงทุนแล้วกลับไม่ได้รับค่าตอบแทนตามสัญญา เบื้องต้นมีผู้มาร้องทุกข์จำนวน 142 คน มีมูลค่าความเสียหาย 180 ล้านบาทเศษ
ในการนี้ พันตำรวจเอก ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้สั่งการให้ พันตำรวจโท ประวุธ วงศ์สีนิล รองอธิบดีฯ ในฐานะกำกับดูแลสำนักคดีอาญาพิเศษ 1 กรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อมอบหมายให้ สำนักคดีอาญาพิเศษ 1 ซึ่งรับผิดชอบดำเนินคดีเกี่ยวกับแชร์ลูกโซ่ ดำเนินการสืบสวนโดยด่วน พบว่า การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนหรือ “แชร์ลูกโซ่” ที่อาจมีผลกระทบรุนแรงต่อระบบต่อระบบเศรษฐกิจ เข้าลักษณะความผิดที่เป็นคดีพิเศษ และพบมูลความผิดฐานฟอกเงินด้วย อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษจึงได้มีคำสั่งให้สอบสวนเป็นคดีพิเศษ (คดีพิเศษที่ 38/2560) และหลังจากรวบรวมหลักฐานแล้ว ในวันที่ 4 เมษายน 2560 พันตำรวจเอก ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้สั่งการให้พันตำรวจโท พเยาว์ ทองเสน ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ 1 และคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เข้าดำเนินการตรวจค้นสถานที่เป้าหมายจำนวน 2 แห่ง เพื่อยึดอายัดทรัพย์สินที่ได้มาหรือเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ดังนี้
1. บ้านเลขที่ 579/216 หมู่บ้านเดอะคอนเนค ซอย 8 ถนนสุขสวัสดิ์ 26 แขวงบางมด เขตจอมทอง กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท ไนซ์ เดย์ ทราเวล จำกัด และปรากฏชื่อ นางสาวจิรฐา ทองเหลือ เป็นเจ้าของ/ภรรยาของกรรมการบริษัทข้างต้น
2. บ้านเลขที่ 117/7 หมู่บ้าน astera pride ถนนพระราม 2 แขวงบางมด เขตจอมทอง กรุงเทพฯ ซึ่งนายปริญญา บุรัสการ ตัวการสำคัญในขบวนการแชร์ลูกโซ่ดังกล่าวได้ซื้อไว้เป็นสินทรัพย์ มูลค่า 30 ล้านบาท
นอกจากนี้ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษยังได้ใช้อำนาจตามมาตรา 24 ตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษฯ ยึดอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ได้แก่ รถยนต์ราคาสูง จำนวน 3 คัน มูลค่ารวมประมาณ 7 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ (Big Bike) อาทิ Honda, Ducati, Harley Davidson, Suzuki และ Kawasaki จำนวน 7 คัน มูลค่ารวมประมาณ 3 ล้านบาท รวมทั้งอายัดเงินสดจำนวน 6 ล้านบาท ที่นายปริญญา บุรัสการ นำไปวางมัดจำเพื่อซื้อรถหรูยี่ห้อแลมโบกีนี่ รวมมูลค่าการยึดอายัดทั้งสิ้นประมาณ 50 ล้านบาท เพื่อยุติความเสียหายไม่ให้ลุกลามเป็นวงกว้าง รวมทั้งยังต้องสืบเสาะทรัพย์สินและยึดทรัพย์สินที่ได้มาหรือเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดกลับมาเยียวยาผู้เสียหายต่อไป
ในการประชาสัมพันธ์ผลการปฏิบัติงานนี้ นอกจากเป็นการนำเสนอผลการปราบปรามแล้ว กรมสอบสวนคดีพิเศษยังขอฝากเตือนไปยังพี่น้องประชาชนให้ระมัดระวังในการร่วมลงทุนทำธุรกิจที่อ้างว่ามีผลตอบแทนสูง ทั้งนี้ กลุ่มเสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดี คือ กลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์จากการหลอกหลวงประชาชน จึงขอให้ระมัดระวังในการชักชวนผู้อื่นให้ลงทุนในลักษณะดังกล่าวด้วย รวมทั้งขอแจ้งเตือนไปถึงกลุ่มผู้กำลังกระทำความผิด และที่คิดจะกระทำความผิด ว่ารัฐบาล กระทรวงยุติธรรม และกรมสอบสวนคดีพิเศษจะดำเนินการปราบปรามเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง โดยใช้มาตรการเชิงรุกและจะใช้มาตรการด้านการฟอกเงิน รวมถึงด้านภาษีเข้าดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อให้การกระทำผิดเรื่องดังกล่าวลดลง ซึ่งกำลังเร่งติดตามดำเนินคดีในความผิดเกี่ยวกับแชร์ลูกโซ่อีกหลายคดี ซึ่งคาดว่า จะทยอยแจ้งข้อกล่าวหาและออกหมายจับเพื่อนำผู้กระทำความผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป
ทั้งนี้ หากมีผู้เสียหายในการหลอกลวงให้ลงทุนดังกล่าวข้างต้น สามารถติดต่อให้ข้อมูลได้ที่
สำนักคดีอาญาพิเศษ 1 กรมสอบสวนคดีพิเศษ ชั้น 8 อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ศูนย์ราชการเฉลิม
พระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะโทร. 0 2142 2831 หรือสายด่วนกรมสอบสวนคดีพิเศษ เบอร์โทรศัพท์ 1202 โทรฟรีทั่วประเทศ