บิ๊กโจ๊กเปิดยุทธการปราบสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ออนไลน์ที่โคราช เตือนถึงผู้ที่ยังดำเนินการผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย สินค้าที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา จะดำเนินการจับกุมดำเนินคดี ถึงบ้าน
วันนี้(8 ต.ค.61) เวลา 22.30น. พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจเทคโนโลยีสารสนเทศการร่วมกสทช.และตัวแทนสินค้าแบรนด์เนม พล.ต.ต.ฐากูร นัทฐีศรี รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 พล.ต.ต.วัชรินทร์ บุญคง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา นำกำลังตำรวจท่องเที่ยว, สตม., ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) กองกำกับการตำรวจสืบสวนสอบสวนภูธรจังหวัด (กก.สส.ภ.จ.) นครราชสีมา และสภ.โพธิ์กลาง อ.เมือง นครราชสีมา เปิดยุทธการปราบสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ออนไลน์ ที่ตลาดเซฟวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา โดยได้ทำการตรวจยึดสินค้าแบรนด์ชื่อดังจำนวนมาก
สำหรับการจับกุมครั้งนี้ได้ผุ้ต้องหาซึ่งเป็นพ่อค้าแม่ค้ารวม11คน ประเมินมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 25 ล้านบาท โดยตลาดแห่งนี้เป็นแหล่งขายสินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้าขนาดใหญ่ กว่า 50 จุด ซึ่งการจับกุมในครั้งนี้เป็นความร่วมมือจากฝ่ายไทย – สหรัฐอเมริกา ในการแก้ไขปัญหาและทลายแหล่งสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ และทรัพย์สินทางปัญญา
โดยจำนวนสินค้าที่สามารถตรวจยึดได้กว่า หมื่นสามพันกว่าชิ้น เช่น หลุยส์ วิตตอง, พราด้า, กุชชี่ ฯลฯ, เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เสื้อ กางเกง รองเท้า เข็มขัด แว่นตา หลากหลายยี่ห้อ นาฬิกาแบรนด์เนม Casio, G-Shock ฯลฯ, กระเป๋าแบรนด์เนมเช่น Rayban, Oakley, Nike, Adidas, Puma, Leis, Fila ฯลฯและสินค้าอื่นๆ
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล ได้ฝากเตือนถึงผู้ที่ยังดำเนินการผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย สินค้าที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด การประกาศขายทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม หากยังดำเนินอยู่เจ้าหน้าที่จะดำเนินการจับกุมดำเนินคดี ถึงบ้านจากผลการดำเนินการสืบสวนทางโลกโซเชียลมีเดีย ตั้งแต่ปี 60จนถึงปัจจุบันได้ดำเนินการตรวจสอบปิดกั้นเว็บไซต์และบล็อก ที่มีการขายออนไลน์สินค้าละเมิดลิขสิทธ์ไปกว่า 600 เว็บไซต์ มีการดำเนินการจับกุมผู้กระทำผิดไปแล้วกว่า 60 ราย
ปัจจุบันกฎหมายได้ยกระดับ โดยการขยายผลถึงนายทุน ตลอดจนใช้มาตรการยึดทรัพย์ จากความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและ ปราบปรามฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (13) และมีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ