“แม่น้องน้ำ” ขอบคุณมูลนิธิปวีณาฯ ตำรวจกองปราบปราม และสื่อมวลชน ที่ช่วยให้ความเป็นธรรมหลังลูกสาวถูกนายจ้างฆ่าฝังดิน นานกว่า 5 ปี
“แม่น้องน้ำ” ขอบคุณมูลนิธิปวีณาฯ ตำรวจกองปราบปราม และสื่อมวลชน ที่ช่วยให้ความเป็นธรรมหลังลูกสาวถูกนายจ้างฆ่าฝังดิน
นานกว่า 5 ปี ล่าสุดศาลชั้นต้นตัดสินสั่งจำคุกนายจ้างตลอดชีวิต แต่ยังเกรงว่าผู้ต้องหาจะได้รับการประกันตัวแล้วตนเองอาจจะไม่ปลอดภัย
วันศุกร์ที่ 22 ก.พ.62 เวลา 10.30 น. นางจันทิรา ศรีศักดิ์ แม่ของน้องน้ำ ที่ถูกนายจ้างฆ่าฝังดิน จะเดินทางมาที่มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อ
เด็กและสตรี ถนนรังสิต-นครนายก คลอง 7 อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี เพื่อขอบคุณ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ ตำรวจกอง
ปราบปราม และสื่อมวลชน ที่ช่วยให้ความเป็นธรรมจนผู้ต้องหาถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตในศาลชั้นต้น แต่ทั้งนี้ในเมื่อคดียังไม่สิ้น
สุดกระบวนการยุติธรรมจึงจะขอปรึกษาแนวทางในการดำเนินการต่อไปด้วย เนื่องจากเกรงว่าหากผู้ต้องหาได้รับการประกันตัวแล้วตน
เองอาจจะไม่ปลอดภัย
ด้าน นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ ได้ประสาน นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เพื่อขอความช่วยเหลือ
นางจันทิรา ศรีศักดิ์ แม่ของน้องน้ำ โดย นายธวัชชัย ได้มอบหมายให้ นางสาวมยุรี จำจรัส ผอ.สำนักงานกองทุนยุติธรรม ส่งทนายความ
และนิติกรมาร่วมประชุมเพื่อหาแนวทางช่วยเหลือแม่น้องน้ำทางด้านคดีในวันนี้ด้วย
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 24 ต.ค. 2560 นางจันทิรา ศรีศักดิ์ ชาว จ.เพชรบุรี แม่ของน.ส.จริยา ศรีศักดิ์ หรือ น้องน้ำ อายุ 16 ปี ได้เดินทางมา
ร้องทุกข์ต่อ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ขอให้ช่วยเหลือขุดศพลูกสาว ซึ่งถูกนายจ้างรับไปทำงาน
บ้านในจ.กรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี 2554 ภายหลังถูกซ้อมทารุณจนตาย ก่อนนำศพลูกสาวมาขุดหลุมฝังไว้ที่ จ.เพชรบุรี ซึ่งตั้งแต่หลังจากลูก
สาวไปทำงานช่วง 2 เดือนแรกก็มีการโทรศัพท์คุยกันเพียง 2 ครั้งเท่านั้น โดยครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 13 เม.ย. 2554 จากนั้นก็ติดต่อไม่ได้อีก
เลย เมื่อไปถามหากับนายจ้างก็บอกว่าลูกสาวหนีไปแล้ว ตนจึงไปแจ้งความคนหายที่ สภ.เมืองเพชรบุรี และประกาศติตามคนหายไปทั่ว
แต่ที่ผ่านมาก็ไม่มีวี่แววของลูกสาว ตนเพิ่งมาทราบเรื่องเพราะมีพลเมืองดีมาบอกว่า ลูกสาวตนถูกนายจ้างซ้อมทารุณจนเสียชีวิตและนำ
ศพมาฝังไว้ใกล้กับตนตาลหลังบ้านของแม่นายจ้างใน จ.เพชรบุรี ตนแทบช็อกแต่เมื่อตั้งสติได้จึงได้ตัดสินใจขอความช่วยเหลือมายังมูล
นิธิปวีณาฯ เพราะไม่กล้าแจ้งตำรวจในพื้นที่ เนื่องจากครอบครัวนายจ้างเป็นผู้มีอิทธิพลในย่านดังกล่าว และเกรงว่าตนและครอบครัวจะ
ไม่ปลอดภัย
หลังรับเรื่อง นางปวีณา หงสกุล ประธาน มูลนิธิปวีณาฯ ได้ประสานไปยัง พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการสอบสวนกลาง
(ในขณะนั้น) และในวันที่ 30 ต.ค. 2560 นางปวีณา ได้พา น.ส.จันทิรา เข้าพบเพื่อนำข้อมูลและหลักฐานภาพถ่ายบริเวณที่ “น้องน้ำ” ถูก
ฝังไว้ไปมอบให้ โดย พล.ต.ท.ฐิติราช ได้ประสาน พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปราม (ในขณะนั้น) ร่วม
ประชุมหาลือ ภายหลังได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.ภูมินทร์ พุ่มพันธ์ม่วง ผกก.5 บก.ป ดำเนินการ และให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวน พร้อม
ด้วยเจ้าหน้าที่มูลนิธิปวีณาฯ เดินทางไปสอบปากคำพยานร่วมกันเมื่อวันที่ 31 ต.ค 2560 เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานขอยื่นหมายค้นเมื่อ
วันที่ 2 พ.ย.2560 ศาลได้อนุมัติหมายค้นที่บ้านของแม่นายจ้างใน จ.เพชรบุรี และเช้าวันที่ 3 พ.ย. 2560 เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการ
ปราบปรามได้เดินทางไปที่ จ.เพชรบุรี เพื่อตรวจค้นขุดหาศพบริเวณใกล้ต้นตาลหลังบ้านแม่นายจ้างทันที หลังระดมกำลังเจ้าหน้าที่ทำ
การขุดใช้เวลาหลายชั่วโมงก็พบโครงกระดูกมนุษย์ถูกฝังอยู่ภายในสวนของแม่นายจ้างจริง จึงได้นำส่งตรวจชันสูตรที่สถาบันนิติเวช
โรงพยาบาลตำรวจ
ต่อมา นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ ได้ประสาน พล.ต.ต.นพ.พรชัย สุธีรคุณ รองนายแพทย์ใหญ่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
(ตำแหน่งในขณะนั้น) ผลตรวจพบว่า โครงกระดูกดังกล่าวเป็นของน้องน้ำจริง เพราะดีเอ็นเอตรงกับ นางจันทิรา และมีความเป็นแม่ลูก
กัน
หลังรวบรวมพยานหลักฐานและผลทางนิติวิทยาศาสตร์เป็นที่เรียบร้อยพนักงานสอบสวน กองบังคับการกองปราบปรามได้ออกหมาย
จับ น.ส.กฤษณา หรือ โมนา สุวรรณพิทักษ์ อายุ 46 ปี (นายจ้าง) ในข้อหา ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา, ปิดบังซ่อนเร้นอำพรางศพ และ น.ส
.ปรารถนา หรือ เม้า ท้วมทรัพย์ อายุ 33 ปี นายปราโมทย์ หรือ ผู้ใหญ่บอย สุวรรณพิทักษ์ อายุ 44 ปี ในข้อหา ร่วมกันปิดบังซ่อนเร้น
อำพรางศพ ช่วยเหลือผู้อื่นไม่ให้ต้องรับโทษ ก่อนนำสำนวนส่งอัยการพิจารณส่งฟ้องศาลจนมาสู่การพิจารณาตัดสินคดีในวันพฤหัสบดีที่
20 ก.พ.62
ทั้งนี้ระหว่างการดำเนินคดีจนถึงวันที่ศาลตัดสิน ทางมูลนิธิปวีณาฯ ได้ให้การดูแล นางจันทิรา แม่ของ “น้องน้ำ” มาโดยตลอด เนื่อง
จากนางจันทิรา เกรงว่าจะไม่ปลอดภัยเนื่องจากผู้ต้องหานับว่าเป็นผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งในพื้นที่จ.เพชรบุรี
โดยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 ก.พ.62 ที่ห้องพิจารณา 811 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ ศาลอ่านคำพิพากษาคดี หมายเลขดำ อ
.3966/2560 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องน.ส.กฤษณา หรือ โมนา สุวรรณพิทักษ์ อายุ 46 ปี น.ส.ปรารถนา หรือ เม้า
ท้วมทรัพย์ อายุ 33 ปี และนายปราโมทย์ หรือ ผู้ใหญ่บอย สุวรรณพิทักษ์ อายุ 44 ปี เป็นจำเลยที่ 1-3 ฐานร่วมกันช่วยเหลือผู้อื่นไม่ให้ต้อง
รับโทษอาญาหรือรับโทษน้อยลง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 184 และจำเลยที่ 1 ฐานฆ่าผู้อื่นฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 288
ศาลพิพากษา จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามมาตรา 288 ให้จำคุกตลอดชีวิต โดยไม่ลดโทษ และต้องชดใช้ให้มารดา
ผู้ตาย ที่ต้องขาดไร้อุปการะจากบุตรสาวที่เสียชีวิต รวมทั้งค่าปลงศพ เป็นเงินทั้งสิ้น 1,065,776 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีที่ผิด
นัดชำระนับตั้งแต่วันที่มารดาผู้ตายยื่นคำร้องให้ชดใช้ตั้งแต่วันที่ 5 มี.ค.55
ส่วนจำเลยที่ 2-3 มีความผิดฐานร่วมกันช่วยเหลือผู้อื่นไม่ให้ต้องรับโทษอาญาหรือรับโทษน้อยลง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
184 ให้จำคุกคนละ 2 ปี โดยคำให้การของจำเลยที่ 2 ในชั้นสอบสวนมีประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้างลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกไว้ 1 ปี
4 เดือน
ส่วนจำเลยที่ 3 รับสารภาพก่อนสืบพยาน พิจารณาลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี ซึ่ง แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพแต่เมื่อพิจารณา
พฤติการณ์แล้วเป็นการกระทำที่ร้ายแรง ซึ่งแม้จำเลยที่ 3 จะเคยเป็นผู้ใหญ่บ้านทำคุณงามความดีมาก่อนและเยียวยามารดาผู้ตายแล้วก็ตาม
ก็ไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ
ต่อมาจำเลยทั้งสามได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เพื่อขอประกันตัวสู้คดีในชั้นอุทธรณ์
โดยศาลพิจารณาแล้ว ในส่วนของน.ส.กฤษณา
หรือ โมนา จำเลยที่ 1 ซึ่งได้ยื่นหลักทรัพย์ 600,000 บาทนั้น ศาลเห็นควรส่งคำร้องขอประกันตัวดังกล่าวให้ศาลอุทธรณ์ เป็นผู้พิจารณา
และมีคำสั่งว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่ต่อ ดังนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ จึงจะควบคุมตัวไปขังไว้ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง ระหว่างรอฟังคำ
สั่งประกันตัว ซึ่งคาดว่าศาลอุทธรณ์จะใช้เวลาพิจารณาภายใน 5-7 วันนี้
ขณะที่ในส่วนของน.ส.ปรารถนา จำเลยที่ 2 และนายปราโมทย์ จำเลยที่ 3 ที่ยื่นหลักทรัพย์คนละ 200,000 บาท ขอประกันตัวด้วยนั้น
ศาลอาญาพิจารณาแล้วก็มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 2-3 ระหว่างอุทธรณ์ โดยตีราคาประกันคนละ 200,000 บาท.