แม่หอบหลักฐานแชทไลน์ รูปภาพขบวนการค้ามนุษย์ ร้องปวีณาช่วยหาสาเหตุการตายลูกสาว ที่ตกตึกสูงในเมืองมานามา ประเทศบาห์เรน หลังถูกนายหน้าหลอกไปทำงานต้อนรับแต่กลับบังคับค้าประเวณี ซึ่งพบปมขัดแย้งรุนแรงหวั่นเป็นการฆาตกรรมอำพราง

พฤษภาคม 9, 2017 02:08 โดย opwnews
0
876

แม่หอบหลักฐานแชทไลน์ รูปภาพขบวนการค้ามนุษย์ ร้องปวีณาช่วยหาสาเหตุการตายลูกสาว ที่ตกตึกสูงในเมืองมานามา ประเทศบาห์เรน หลังถูกนายหน้าหลอกไปทำงานต้อนรับแต่กลับบังคับค้าประเวณี ซึ่งพบปมขัดแย้งรุนแรงหวั่นเป็นการฆาตกรรมอำพราง1494296066267

เมื่อวันจันทร์ที่ 8 พ.ค.60 ที่มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี นางบุญ (นามสมมติ) อายุ 38 ปี ชาวจ.นครราชสีมา พร้อมญาติ ได้หอบหลักฐานข้อความแชทไลน์ที่พูดคุยกับ น.ส.เกต (นามสมมติ) อายุ 21 ปี ลูกสาว ที่ถูกนางเกวรินทร์ (สงวนนามสกุล) นายหน้า หรือแม่แท็ก ชักชวนไปทำงานแผนกต้อนรับที่ร้านอาหารในประเทศบาห์เรน แล้วถูกบังคับค้าประเวณี และต่อมาได้ตกจากอาคารสูงที่พักในเมืองมานามาจนได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมา เข้าร้องทุกข์ต่อนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ เพื่อขอให้ช่วยตรวจสอบหาสาเหตุการตายที่แท้จริงและให้ความเป็นธรรม

นางบุญ กล่าวว่า ลูกสาวถูกนายหน้าชื่อ นางเกวรินทร์ ชักชวนไปทำงานแผนกต้อนรับที่ร้านอาหารในประเทศบาห์เรน บอกว่าจะมีรายได้สูงกว่า 5 หมื่นบาทต่อเดือน โดยจะออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้ทั้งหมดเป็นเงิน 1.9 แสนบาท และเมื่อทำงานได้ก็จะทยอยหักเงินใช้หนี้ ลูกสาวจึงตัดสินใจตกลงเดินทางไปทำงานเมื่อวันที่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา พร้อมกับเพื่อนสาวอีก 2 คน คิดว่าอดทนไม่นานจะหาเงินส่งมาช่วยทางบ้านได้ แต่เมื่อไปถึงประเทศบาห์เรนได้พักอยู่ในอาคารแห่งหนึ่งในเมืองมานามา ต่อมาอีก 2 วัน ลูกสาวได้ติดต่อมาบอกว่าถูกบังคับให้ขายบริการถ้าไม่ทำก็จะถูกกักบริเวณไม่ให้ออกไปไหน ลูกสาวจึงต้องจำใจทำงาน วันแรกหาเงินมาได้ 6,500 บาท แต่กลับถูกหักเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าที่พัก และอื่นๆ เหลือเพียง 300 บาทเท่านั้น

นางบุญ กล่าวอีกว่า จากนั้นลูกสาวได้ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนที่ทำงานอยู่อีกที่หนึ่ง ขอให้พาไปอยู่ด้วยซึ่งเพื่อนก็รับปาก แต่ต่อมาเพื่อนรู้ข่าวว่าสามีของนางเกวรินทร์เป็นตำรวจที่นั่นจึงไม่กล้ามารับตัว และเมื่อนางเกวรินทร์รู้ว่าลูกสาวพยายามจะไปอยู่ที่อื่นจึงไม่พอใจ ช่วงประมาณวันที่ 19-20 เม.ย. ลูกสาวได้ไลน์มาคุยด้วยตลอดเกือบทั้งวัน แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าข้อความที่ส่งมาเหมือนมีความกังวลและกลัวอะไรบ้างอย่าง โดยบอกว่า ขอให้แม่เอาที่ดินไปจำนองเพื่อเอาเงินมาไถ่ตัวจะได้กลับบ้าน ตอนนี้อยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว เนื่องจากไม่ปลอดภัย ซึ่งอาจจะไม่ได้กลับไปหาครอบครัวอีกแล้ว รู้สึกเครียดมาก เผลอพวกมันมารุม หลังถูกเพื่อนที่ทำงานนำข้อมูลที่จะหลบหนีไปบอกจนถูกขังอยู่แต่ภายในห้อง และก่อนที่ลูกสาวจะเสียชีวิต ได้ส่งข้อความมาบอกว่า หากชาติหน้ามีจริงขอเกิดเป็นแม่ลูกกันอีกนะ ลาก่อนนะ จากนั้นก็ไม่สามารถติดต่อลูกสาวได้อีกเลย ตนเป็นห่วงลูกมากแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร จนเช้าวันที่ 21 เม.ย. จึงได้ไปแจ้งความกับตำรวจปราบปรามการค้ามนุษย์ที่จ.นครราชสีมาเพื่อหาทางช่วยลูก กระทั่งช่วงบ่ายวันเดียวกันตนได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ว่าลูกสาวเกิดพลัดตกจากอาคารที่พักได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องได้รับการเซ็นยินยอมให้แพทย์ผ่าตัดสมอง พร้อมส่งเอกสารมาทางไลน์จึงได้เซ็นชื่อส่งไปให้ และเช้าวันที่ 22 เม.ย. ตนก็ได้รับข่าวร้ายว่าลูกสาวเสียชีวิตแล้ว

“ตนและญาติๆ ติดใจสงสัยในสาเหตุการเสียชีวิตของลูก เพราะจากการพูดคุยกับลูกไม่ได้มีปัญหาหรือวี่แววว่าจะคิดสั้นแต่อย่างใด กลับมีแต่ความกังวลว่าจะถูกทำร้ายจนเป็นอันตรายถึงชีวิตตามข้อความที่ส่งมา โดยลูกสาวตนยังได้แอบถ่ายรูปนางเกวรินทร์ สามีที่เป็นตำรวจ และพวกคนคุมส่งมาให้เป็นหลักฐานด้วย และหลังเกิดเหตุมีเพื่อนของลูกสาวซึ่งทำงานอยู่ที่พัทยาโทรมาบอกว่า เพื่อนสาว 2 คน ที่เดินทางไปพร้อมกับลูกสาวและพักอาศัยอยู่ที่เดียวกัน เล่าให้ฟังว่า ก่อนที่ลูกสาวตนจะตกตึกนั้นได้ยืนคุยกับนางเกวรินทร์และสามีที่เป็นตำรวจยู่ที่ริมระเบียง จากนั้นไม่นานก็ตกลงไปที่พื้นด้านล่าง หลังเกิดเหตุนางเกวรินทร์กับสามีก็เดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยเพื่อนสาวทั้งสองคนยังได้ถามว่า ต้องทำกันถึงขนาดนี้เลยหรือ แต่นางเกวรินทร์ก็ไม่ตอบ ตนจึงเชื่อว่าการเสียชีวิตของลูกสาวต้องมีเงื่อนงำอย่างแน่นอน เนื่องจากโทรศัพท์มือถือส่วนตัวของลูกก็ได้หายไปด้วย”

นางบุญ กล่าวอีกว่า ตนเสียใจมากที่สูญเสียลูก เพราะลูกสาวเป็นกำลังหลักหาเงินเลี้ยงดูครอบครัว ซึ่งน.ส.เกต ตั้งแต่เด็กเป็นคนสู้ชีวิต ก่อนหน้านี้มีสามีและมีลูกสาว 1 คน ซึ่งยังเล็กอยู่ก็ฝากให้แม่เลี้ยง และตัวเองก็ยอมลำบากไปทำงานเพื่อหาเงินจุนเจือ ซึ่งตนก็ต้องก้มหน้าเลี้ยงหลานต่อไป ทั้งนี้ตนตั้งใจที่จะนำศพลูกกลับมากลับมาประกอบพิธีทางศาสนาที่ประเทศไทย โดยหวังว่าจะได้เห็นหน้ากันเป็นครั้งสุดท้ายก็ยังดี ซึ่งทางกรมการกงสุลได้แจ้งว่าขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการตามขั้นตอนซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาถึง 2-3 เดือน ส่วนเรื่องคดีก็ยังไม่ทราบความคืบหน้า ตนหวังว่าหลักฐานที่มีอยู่อาจจะเป็นประโยชน์ในการคลี่คลายคดีจึงได้นำมามอบให้กับนางปวีณา เพื่อประสานช่วยเหลือหาสาเหตุการตายที่แท้จริงของลูกสาว

หลังรับเรื่องร้องทุกข์ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ กล่าวว่า ทางกระทรวงต่างประเทศได้ดูแลช่วยเหลือทางญาติของน.ส.เกต ในการประสานรับศพกลับ และชี้แจงขั้นตอนเป็นอย่างดี ส่วนกรณีที่ญาติสงสัยสาเหตุการตายนั้น ทางมูลนิธิปวีณาฯ จะขอให้ตำรวจสากลช่วยประสานอีกทางหนึ่ง โดยนางปวีณาได้ประสาน พล.ต.ต.อภิชาติ สุริบุญญา ผู้บังคับการกองการต่างประเทศ ในฐานะหัวหน้าตำรวจสากลประเทศไทย และพร้อมจะส่งมอบหลักฐานทุกอย่างที่น.ส.เกต พูดคุยกับแม่ในไลน์ขอความช่วยเหลือและสั่งลาแม่ ทั้งหลักฐานสำคัญเป็นรูปผู้ชายที่น.ส.เกต ส่งมาให้แม่ แจ้งว่าเป็นหัวหน้าใหญ่และเป็นผู้คุม เพื่อเป็นหลักฐานและเป็นข้อมูลในการสืบสวนร่วมกับตำรวจบาห์เรนตรวจสอบหาข้อเท็จจริงสาเหตุการเสียชีวิตของน.ส.เกต พร้อมประสาน พล.ต.ต.กรไชย คล้ายคลึง ผู้บังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ ร่วมให้การช่วยเหลือตรวจสอบข้อเท็จจริง รวมถึงนายธาตรี เชาวชตา ผู้อำนวยการกองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ในการดำเนินการนำศพน.ส.เกต กลับมาประเทศไทยตามที่ญาติร้องขอต่อไป

“ส่วนประเด็นที่ทางญาติของน.ส.เกต สงสัย คือ 1.หลังเกิดเหตุทางเจ้าหน้าที่ตำรวจบาห์เรนได้ดำเนินการอย่างไรบ้าง 2.ได้มีการตรวจหาหลักฐานทางนิติวิทยาศาตร์หรือไม่ 3.ได้ดำเนินคดีกับนายหน้า (แม่แท็ก) หรือไม่ 4.และสามีของนางเกวรินทร์ นายหน้า เป็นตำรวจหรือไม่ 5.ความคืบหน้าคดีเป็นอย่างไร พร้อมกันนี้ฝากเตือนหญิงไทยทุกคนที่คิดจะไปทำงานในต่างแดนควรตรวจสอบหาข้อมูลให้แน่ชัดก่อนตัดสินใจเดินทาง เพราะแท้จริงแล้วไม่มีที่ไหนจะอยู่สบายเหมือนบ้านเรา และคงไม่มีงานสบายที่จะได้เงินครั้งละมากๆ” นางปวีณา กล่าว




--!>