สาวท้องแก่ร้องมูลนิธิปวีณาฯถูกสามีซ้อมจนทนไม่ไหว ขอความปลอดภัย และจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด

กรกฎาคม 16, 2020 15:35 โดย opwnews
0
371

 

 

สาวท้องแก่ร้องมูลนิธิปวีณาฯถูกสามีซ้อมจนทนไม่ไหว ขอความปลอดภัย และจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด 1594914712916

สาวท้องแก่ร้องมูลนิธิปวีณาฯถูกสามีซ้อมจนทนไม่ไหว ขอความปลอดภัย และจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ขณะเดียวกันขอให้ตำรวจเรียกตัวคนขับTAXIที่ได้ช่วยเหลือฝ่ายชายกระทำความผิดโดยเปิดประตูรถให้สามีมาฉุดไปจนถูกซ้อมมารับโทษ ทั้งที่ขอร้องคนขับTAXIว่า “อย่าเปิดล็อคประตูรถเพราะหนูอาจตายได้เลยนะลุง”

1594914699369

วันที่ 16 กรกฎาคม 2563 เวลา 13.30 น. นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ได้พาน้องเค(นามสมมติ)มาพบพ.ต.อ.สุรพจน์ รอดบำรุง ผกก.สภ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี เพื่อติดตามคดี กรณีสามีน้องเคได้ทำร้ายร่างกายเมื่อคืนวันที่ 6 ก.ค.63 ด้วยการจับน้องเค กดหัว แล้วต่อย ตบตี อย่างรุนแรง จนร่างกาย ใบหน้า ศรีษะ และตาบวมช้ำ และยังขู่ว่า “ถ้าแทงมึงตายกูต้องติดคุกกี่ปี” จนทำให้หวาดกลัวมาก รายละเอียดตามจดหมายแผ่นที่2 ที่น้องเคเขียนขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิฯ
วันที่ 7 กรกฎาคม 2563 เพื่อนน้องเคขอความช่วยเหลือด่วนให้มูลนิธิปวีณาฯพาไปแจ้งความ และตรวจร่างกาย และขอให้อยู่ในความดูแลของมูลนิธิปวีณาฯเพื่อความปลอดภัย เนื่องจากร่างกายบอบช้ำ ต้องนอนพักรักษาตัวจนถึงทุกวันนี้ และในวันนี้นอกจากจะมาติดตามดำเนินคดีสามีทำร้ายร่างกายแล้ว น้องเคประสงค์จะแจ้งความให้ตำรวจติดตามตัวคนขับTAXI มาดำเนินคดีในข้อหาช่วยเหลือฝ่ายชายจนทำให้ตนเองถูกทำร้ายจนแทบเอาตัวไม่รอด
น้องเคกล่าว่า ดิฉันรู้จักกับฝ่ายชายมาได้ประมาณ 1 ปี แต่เมื่อช่วงกลางเดือนเมษายน 2563 ดิฉันท้องได้3เดือน จึงตัดสินใจมาเช่าห้องอยู่กับฝ่ายชาย แต่ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันก็มีการทำร้ายร่างกายมาโดยตลอด ซึ่งหลังสุดที่ถูกทำร้ายหนักวันที่ 31 ธ.ค.63 ถูกทำร้ายจนเข้ารพ.พระนั่งเกล้า พักรักษาตัว 11 วัน อาการซี่โครงร้าว ม้ามแตก ตับฉีก แต่ไม่ได้แจ้งความ เพราะทุกครั้งที่ฝ่ายชายทำร้ายมักจะมีการพูดจาข่มขู่ และบอกว่ารู้จักกับตำรวจหลายคน อย่างมากก็เสียค่าปรับ
วันที่ 6 ก.ค.63 เวลา 13.00 น.ดิฉันได้ตัดสินใจจะเลิกกับฝ่ายชาย จึงได้มีการส่งข้อความไปบอกเลิก และบล็อกเบอร์โทรของฝ่ายชาย แต่ทางฝ่ายชายได้ให้น้องชายของตนเองโทรมาหาดิฉัน เพราะทางฝ่ายชายจะขอคุยเรื่องสิ่งของที่ยังอยู่กับฝ่ายชาย จากนั้นดิฉันจึงปลดบล็อกเบอร์และได้มีการพูดคุยกับทางฝ่ายชายโดยตกลงยอมเลิกกันด้วยดี และขาดการติดต่อกันไป จนถึงเวลา 21.02 น. ดิฉันเลิกงาน จึงขอให้เพื่อนร่วมงานช่วยไปดูหน้าออฟฟิศว่ามีฝ่ายชายมารอหรือไม่ เพื่อนแจ้งว่าไม่มี มีแต่แท็กซี่จอดอยู่1คัน ดิฉันจึงรีบไปขึ้นรถแท็กซี่ ทะเบียน 1 มค 5349 สีเขียวเหลือง และบอกคนขับแท็กซี่ว่าไปสนามบินน้ำ เพราะดิฉันจะไปนอนบ้านแม่ แต่รถแท็กซี่คันดังกล่าวได้ขับออกมาจากหน้าออฟฟิศแล้วเลี้ยวมาอีกทาง ดิฉันจึงถามคนขับแท็กซี่ว่า ทำไมลุงเลี้ยวมาทางนี้ คนขับแท็กซี่บอกว่า แฟนหนูรออยู่ จากนั้นคนขับแท็กซี่ขับรถมาจอดต่อท้ายรถของฝ่ายชาย ดิฉันเห็นฝ่ายชายได้เดินลงมาจากรถ ดิฉันจึงขอร้องคนขับรถแท็กซี่ว่า อย่าเปิดล็อคประตูรถเพราะหนูอาจตายได้เลยนะลุง ฝ่ายชายเดินมาเปิดประตูทางฝั่งที่ตนเองนั่ง แต่ดิฉันได้ล็อคประตูไว้ทันทางฝ่ายชายจึงเปิดไม่ได้ แต่ทางคนขับแท็กซี่ได้เปิดล็อคประตูให้ ฝ่ายชายจึงเปิดประตูและมากระชากดิฉันลงจากรถ และได้จ่ายเงินให้คนขับแท็กซี่ไป400บาท จากนั้นทางฝ่ายชายได้ฉุดกระชากดิฉันเข้าไปในรถของเขา แล้วตบตี ต่อย จับหัวกดลง และพูดว่า ถ้าแทงมึงตายกูต้องติดคุกกี่ปี ดิฉันกลัวจึงขอร้องไม่ให้ฝ่ายชายทำร้ายร่างกาย ฝ่ายชายจึงขับรถมุ่งหน้ามาทางรังสิตบอกว่าจะไปบ้านแม่ของฝ่ายชายอยู่ที่คลอง10 ธัญบุรี เมื่อมาถึงประมาณคลอง1 จึงได้โทรไปหาแม่ ทางแม่ฝ่ายชายบอกว่ามีญาติมาอยู่หลายคนไม่สะดวก ฝ่ายชายจึงบังคับให้ดิฉันพามาที่บ้านน้องชาย บ้านน้องสาว และบ้านแม่ของดิฉัน ซึ่งอยู่ที่จ.นนทบุรี และบอกว่าครั้งหน้าถ้าดิฉันหนีมาจะได้ตามมาถูก จากนั้นได้ขับรถพากลับมาที่ห้องเช่าแถวท่าอิฐ จ.นนทบุรี ที่เช่าอยู่ด้วยกันทางฝ่ายชายก็ทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนถึงเช้าวันที่ 7ก.ค.63 เวลาประมาณ10.00น. ฝ่ายชายก็ขับรถมาส่งที่ออฟฟิศ จากนั้นทางเพื่อนร่วมงานได้เห็นร่องรอยการถูกทำร้ายจึงได้โทรศัพท์แจ้งขอความช่วยเหลือมายังมูลนิธิปวีณาฯ เพราะดิฉันต้องการเลิกกับฝ่ายชาย และขอให้มูลนิธิ
ปวีณาฯช่วยเหลือให้ถึงที่สุด
นางปวีณา หงสกุล กล่าวว่า กรณีเคสน้องเคนั้น เป็นห่วงเรื่องสุขภาพและจิตใจของน้องเค รวมทั้งลูกในท้อง และความปลอกภัย ดังนั้นมูลนิธิปวีณาฯจึงให้การดูแลอย่างใกล้ชิด และฟื้นฟูสภาพจิตใจรวมทั้งต้องพาไปตรวครรภ์ให้ครบตามกำหนด ซึ่งมูลนิธิปวีณาจะคุ้มครองน้องเคและลูกในท้องให้ดีที่สุด ทุกวันนี้สถิติการรับเรื่องราวร้องทุกข์ของมูลนิธิปวีณาฯ มีเรื่องการทำร้ายร่างกายภรรยา หรือแฟน เป็นอันดับหนึ่ง จึงขอให้ผู้หญิงที่คิดจะคบหากับใคร ควรเรียนรู้ความประพฤติ รู้จักครอบครัว ศึกษาประวัติ ลักษณะนิสัยของฝ่ายชายใหแน่ชัดก่อน เพราะบางคนมีพฤติกรรมชอบใช้ความรุนแรง ก่อนที่จะตกลงอยู่กินกับฝ่ายชาย โดยเฉพาะการมีบุตรด้วยกัน ต้องมีความรัก มีความพร้อมที่จะมีบุตรเสียก่อน มิฉะนั้นเด็กที่เกิดมาจะเป็นเหยื่อของสังคมที่ชั่วร้ายต่อไป

1594914732628

ที่มาข่าวภาพ…ปชส.มูลนิธิปวีณาฯ




--!>