กรมสอบสวนคดีพิเศษและกรมศุลกากรประสานความร่วมมือ กรณีการปราบปรามการนำเข้ารถยนต์ที่ลักลอบและหลีกเลี่ยงการชำระภาษีศุลกากร
ตามที่ กระทรวงยุติธรรมได้มีนโยบายให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปราบปรามกลุ่มขบวนการกระทำผิดเกี่ยวกับการลักลอบและหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร อันส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐ และสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวน กรณีการนำรถยนต์เข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงภาษีอากร และสำแดงราคาต่ำกว่าความเป็นจริง พบว่าบริษัทผู้นำเข้ารถยนต์ได้ระบุราคาสินค้าในใบขนสินค้าขาเข้าที่ผู้นำเข้าต้องแสดงต่อกรมศุลกากรเพื่อเสียภาษีอากร โดยมีการสำแดงราคาต่ำกว่าราคาเป็นจริง ซึ่งราคาโดยเฉลี่ยที่ผู้นำเข้าสำแดง คือ ไม่เกินร้อยละ 40 ของราคารถยนต์ที่บริษัทผู้ผลิตในประเทศต้นกำเนิดรถยนต์จำหน่าย จากข้อมูลที่ได้จากการสืบสวนสอบสวนเบื้องต้น พบรถยนต์เลี่ยงภาษีที่นำเข้ามาจำหน่ายเป็นรถยนต์ที่มีสมรรถนะสูงและมีราคาแพงก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐเป็นจำนวนมาก
ต่อมาเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2560 พันตำรวจเอก ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และพันตำรวจโท กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ได้มอบหมายให้คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 120/2560 ดำเนินการขอหมายค้นต่อศาลอาญาเพื่อตรวจค้นสถานที่เป้าหมายต้องสงสัย จำนวน 9 แห่ง สามารถอายัดรถได้จำนวน 122 คัน และในวันที่ 24 พฤษภาคม 2560 ได้เข้าตรวจค้นสถานที่เป้าหมายต้องสงสัยครั้งที่ 2 จำนวน 6 แห่ง โดยสามารถอายัดรถยนต์ได้อีกจำนวน 38 คันรวมทั้งสิ้น 160 คัน พร้อมตรวจยึดเอกสารสำคัญในการนำเข้ารถยนต์ ซึ่งเป็นรถยนต์หลายยี่ห้อ อาทิเช่นลัมโบกินี, โรลลอยด์, แมคคาเรน, โลตัส เป็นต้น หากเป็นความผิดจะมีมูลค่าความเสียหายกว่าที่ทำให้รัฐเสียหายเป็นจำนวนเงินกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งคณะพนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างรวบรวมพยานเอกสารที่เกี่ยวข้อง และตรวจสอบเอกสารที่ได้ทำการยึดมาจากบริษัท เพื่อพิสูจน์ทราบว่ามีการทำราคาต่ำเข้ามาในลักษณะใดหรือไม่
หน่วยต่อต้านการโจรกรรมรถยนต์ สหราชอาณาจักร National Vehicle Crime Intelligence Service (NaVCIS) ได้ประสานความร่วมมือกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ พบว่ารถยนต์ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษจำนวนหนึ่งได้อายัดไว้เป็นรถยนต์ที่ได้รับการประสานจาก NaVCIS ว่าเป็นรถยนต์ที่มีการแจ้งหายไว้ที่สหราชอาณาจักร โดยส่งมอบข้อมูลรถยนต์ที่ถูกโจรกรรมจากประเทศของตนเป็นจำนวน 42 คัน จากการสืบสวนเบื้องต้นพบรถยนต์ที่ถูกโจรกรรมจำนวน 10 คัน อยู่ในประเทศไทย และ NaVCIS ต้องการให้มีการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดโดยเร็ว และได้ประสานขอความร่วมมือมายังกรมสอบสวนคดีพิเศษดังกล่าว จึงต้องทำการสอบสวนขยายผลถึงพฤติการณ์เพื่อจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ดังนั้น เพื่อให้การป้องกันและปราบปรามเรื่องดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลอย่างมีประสิทธิภาพ จึงมีการประสานความร่วมมือกันระหว่าง พันตำรวจเอก ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และ นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร ในการร่วมมือกันปราบปรามขบวนการนำรถยนต์เข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงภาษีอากร และสำแดงราคาต่ำกว่าความเป็นจริง และร่วมกันในการดำเนินคดีความผิดที่มีโทษทางอาญาของสหราชอาณาจักร ซึ่งการก่ออาชญากรรมทางเศรษฐกิจดังกล่าวส่งผลกระทบกับสหราชอาณาจักรเป็นอย่างมาก
อนึ่ง ภายหลังการสนธิกำลังเข้าตรวจค้นสถานที่เป้าหมาย ได้ปรากฏมีคณะบุคคลหรือบุคคลได้แอบอ้างตัวเป็นเจ้าพนักงานกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เรียกรับผลประโยชน์อันเป็นตัวเงินจากบริษัทหรือตัวแทนผู้จำหน่ายรถยนต์ที่อาจเกี่ยวข้องกับการถูกตรวจสอบว่าจะสามารถให้ความช่วยเหลือหรือเจรจาต่อรองไม่ให้ถูกดำเนินคดีได้ และจากการตรวจสอบของ “เจ้าพนักงานป้องกันและปราบปราม” ตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 13/2559 และกรมสอบสวนคดีพิเศษพบว่ามีบริษัทที่หลงเชื่อและโอนเงินให้กับคณะบุคคลหรือบุคคลดังกล่าวให้กับ นายอรรคพล ทรัพย์พูลปฐม แล้วจำนวนหนึ่ง พฤติการณ์ของนายอรรคพลฯ มีพฤติการณ์แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานฯ ให้บุคคลอื่นเกรงกลัว เพื่อให้ได้รับผลประโยชน์อันมิชอบด้วยกฎหมาย เจ้าพนักงานทหาร ม.พัน 19 พล ร.9 และกรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงได้เข้าตรวจค้นบ้านพักนายอรรคพลฯ และนำตัวส่งให้กับพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ใคร่ประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนให้กับบริษัทผู้นำเข้ารถยนต์และตัวแทนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งประชาชนทั่วไป หากมีคณะบุคคลหรือบุคคลใดๆ แอบอ้างตนเป็นเจ้าพนักงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เพื่อเรียกรับผลประโยชน์อันเป็นตัวเงินหรือทรัพย์สินอื่นใดเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ขออย่าได้หลงเชื่อ หากมีการแอบอ้าง ขอให้ผู้เสียหายไปร้องทุกข์ดำเนินคดีต่อสถานีตำรวจท้องที่เกิดเหตุโดยเร็ว และแจ้งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษทราบที่หมายเลข 0-2831-9888 เพื่อจะได้ดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเด็ดขาดต่อไป