ยิ่งใหญ่! กินรีทองคำประจำปี67 สมัชชาสื่อไทยมอบรางวัลปูชนียบุคคล “ผ่อง เล่งอี้” บุรุษผู้รักษาผืนป่ามรดกโลก
ยิ่งใหญ่! กินรีทองคำประจำปี67 สมัชชาสื่อไทยมอบรางวัลปูชนียบุคคล “ผ่อง เล่งอี้”
บุรุษผู้รักษาผืนป่ามรดกโลก
เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2567 ที่ห้องประชุมณ หอประชุมใหญ่ TOT สำนักงานใหญ่(ข้างศูนย์ราชการ) ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ หม่อมหลวง ชาญโชติ ชมพูนุท เป็นประธานพิธีมอบประกาศเกียรติคุณปูชนียบุคคลแห่งชาติ รางวัล “กินรีทองคำ” ประจำปี 2567 โดย ดร.อำนาจ หมัดสดาย ประธานสมัชชานักจัดรายการข่าววิทยุโทรทัศน์หนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (สว.นท) เป็นประธานการจัดงานประกาศเกียรติคุณและมอบรางวัลในครั้งนี้ ร่วมกับภาคีเครือข่าย ทั้งนี้เพื่อตระหนักถึงคุณค่าของบุคคลที่คิดดี ทำดี และเป็นแบบอย่างที่ดีต่อสังคมไทย
วัตถุประสงค์ของการจัดงาน เพื่อเป็นการรณรงค์และส่งเสริมให้เกิดการทำดีในสังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ และยกย่องบุคคลที่ทำความดีจากหลากหลายสาขาอาชีพทั่วประเทศ เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดี โดยมีบุคคลหลากหลายสาขาอาชีพเข้ารับรางวัลในครั้งนี้
สำหรับปีนี้ คณะกรรมการฯ ได้เสนอชื่อ ดร.ผ่อง เล่งอี้ อดีตอธิบดีกรมป่าไม้ และอดีตสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร เข้ารับรางวัล กินรีทองคำ สาขา ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติดีเด่น ซึ่งสมควรแก่การยกย่องเป็นปูชนียบุคคลแห่งชาติ นอกจากนี้ ยังมอบอีก 2 รางวัล ผู้บริหารธุรกิจยอดเยี่ยมให้กับ คุณเชาว์ชัย เจียมวิจิตร ประธานคณะอนุกรรมการค้าชายแดนและค้าข้ามแดน ด้านจีนตอนใต้ สภาหอการค้าไทย และคุณฉัตรชัย เล่งอี้ รองประธานคณะอนุกรรมการฯ
ดร.ผ่อง เล่งอี้ ในวัย 91 ปี กล่าวว่า ดีใจและภูมิใจที่ได้มารับรางวัลในครั้งนี้ ต้องขอขอบคุณ สว.นท ที่มองเห็นในคุณความดีที่เคยทำมา ตนเองไม่ได้คิดอะไรมาก แค่ต้องการทำเพื่อชาติ และปกป้องผืนป่าและสัตว์ป่าให้คงอยู่ ดีใจที่ได้ทำหน้าที่รักษาป่าไว้คิดว ดร.ผ่อง กล่าว
ดร.ผ่อง เล่งอี้ เป็นอดีตอธิบดีกรมป่าไม้ ซึ่งถือเป็นผู้ริเริ่มบุกเบิกการจัดตั้งเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่าสัตว์ป่าคนแรกของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นผู้ริเริ่มการจัดตั้งเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จนได้รับการบันทึกไว้เป็นมรดกโลกในปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็นผู้บุกเบิกอนุรักษ์ทรัพย์กรป่าไม้และชายฝั่งทะเล และขอประกาศจัดตั้งเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า38แห่ง เขตห้ามล่าสัตว์ป่า19แห่ง อุทยานแห่งชาติ71แห่ง รวมเนื้อที่67ล้านไร่ คิดเป็น20.5% ของเนื้อที่ประเทศไทยเลยทีเดียว.